มาตรฐานราคากลางต่อหน่วยสำหรับโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างในประเทศไทย (พ.ศ. 2566-2567)
บทความ: มาตรฐานราคากลางต่อหน่วยสำหรับโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างในประเทศไทย (พ.ศ. 2566-2567)
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ราคาการก่อสร้างในประเทศไทยมีการปรับตัวขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ตั้งแต่วัสดุก่อสร้าง แรงงาน ไปจนถึงกระบวนการขนส่ง เพื่อให้การประเมินราคาการก่อสร้างเป็นไปอย่างมีมาตรฐานและถูกต้อง สมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทยได้จัดทำบัญชีราคามาตรฐานต่อหน่วยขึ้น โดยในเอกสารฉบับนี้เป็นการแสดงราคามาตรฐานสำหรับโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างในปี พ.ศ. 2566 ถึง 2567
ราคามาตรฐานสำหรับการก่อสร้างโรงเรือน
จากข้อมูลในภาพประกอบ เราจะเห็นว่ามีการกำหนดราคามาตรฐานต่อหน่วยเป็นตารางที่ครอบคลุมพื้นที่การก่อสร้างในหน่วยตารางเมตร แบ่งตามประเภทการก่อสร้างออกเป็น 2 หมวดหลัก ๆ ได้แก่:
- โกดังเก็บของกรณีติดกับพื้นดิน
ราคาสำหรับโกดังประเภทนี้มีการแบ่งพื้นที่ตามขนาดของโรงเรือนเริ่มต้นตั้งแต่พื้นที่ไม่เกิน 300 ตารางเมตร ไปจนถึงพื้นที่มากกว่า 2,001 ตารางเมตรขึ้นไป ซึ่งราคามีความแตกต่างกันตามขนาด โดยมีการแบ่งราคาต่ำ ปานกลาง และสูง ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับการประเมินราคาในแต่ละระดับการก่อสร้างที่ต่างกัน
พื้นที่ไม่เกิน 300 ตร.ม.:
– ราคาต่ำอยู่ที่ 8,700 บาท/ตร.ม. ปานกลาง 10,400 บาท/ตร.ม. และสูงสุด 12,500 บาท/ตร.ม.
พื้นที่ตั้งแต่ 301-1,000 ตร.ม.:
– ราคาต่ำอยู่ที่ 8,200 บาท/ตร.ม. ปานกลาง 9,600 บาท/ตร.ม. และสูงสุด 10,900 บาท/ตร.ม.
พื้นที่ตั้งแต่ 1,001-2,000 ตร.ม.:
– ราคาต่ำอยู่ที่ 7,800 บาท/ตร.ม. ปานกลาง 9,200 บาท/ตร.ม. และสูงสุด 10,400 บาท/ตร.ม.
พื้นที่ตั้งแต่ 2,001 ตร.ม. ขึ้นไป:
– ราคาต่ำอยู่ที่ 7,600 บาท/ตร.ม. ปานกลาง 8,700 บาท/ตร.ม. และสูงสุด 9,900 บาท/ตร.ม. - โกดังเก็บของกรณีเป็นอาคารยกพื้น
ส่วนประเภทโกดังที่มีการยกพื้น ราคาจะมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับโกดังที่ติดกับพื้นดิน ราคาต่อหน่วยก็จะมีการปรับตัวตามขนาดของพื้นที่ก่อสร้างเช่นกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้:
พื้นที่ไม่เกิน 300 ตร.ม.:
– ราคาต่ำอยู่ที่ 7,200 บาท/ตร.ม. ปานกลาง 8,200 บาท/ตร.ม. และสูงสุด 9,900 บาท/ตร.ม.
พื้นที่ตั้งแต่ 301-1,000 ตร.ม.:
– ราคาต่ำอยู่ที่ 7,000 บาท/ตร.ม. ปานกลาง 8,000 บาท/ตร.ม. และสูงสุด 9,600 บาท/ตร.ม.
พื้นที่ตั้งแต่ 1,001-2,000 ตร.ม.:
– ราคาต่ำอยู่ที่ 6,800 บาท/ตร.ม. ปานกลาง 7,600 บาท/ตร.ม. และสูงสุด 8,900 บาท/ตร.ม.
พื้นที่ตั้งแต่ 2,001 ตร.ม. ขึ้นไป:
– ราคาต่ำอยู่ที่ 6,600 บาท/ตร.ม. ปานกลาง 7,400 บาท/ตร.ม. และสูงสุด 8,500 บาท/ตร.ม.
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาการก่อสร้าง
ราคามาตรฐานที่ถูกกำหนดขึ้นในบัญชีนี้เป็นการสะท้อนภาพรวมของการก่อสร้างโรงเรือนในประเทศไทย ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ได้แก่:
- ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น เหล็ก คอนกรีต และวัสดุอื่น ๆ มีความผันผวนตามราคาตลาดโลก นอกจากนี้ วัสดุที่นำเข้ายังได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและนโยบายการค้า
- ค่าแรงงาน ค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยมีการปรับตัวขึ้นตามกฎระเบียบและการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างโดยรวมมีแนวโน้มสูงขึ้น
- เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการก่อสร้าง การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในกระบวนการก่อสร้าง เช่น การใช้เครื่องจักรในการก่อสร้าง การใช้ระบบสำเร็จรูป หรือเทคโนโลยีการติดตั้งแบบอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาและแรงงานที่ใช้ แต่ยังคงส่งผลต่อต้นทุนรวม
- พื้นที่ก่อสร้าง ที่ตั้งของโครงการก่อสร้างก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลต่อต้นทุนการขนส่งวัสดุและค่าแรงงาน การก่อสร้างในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่ขาดแคลนทรัพยากรอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้นกว่าการก่อสร้างในเขตเมืองที่เข้าถึงวัสดุและแรงงานได้ง่ายกว่า
ประโยชน์ของการใช้ราคามาตรฐาน
การที่สมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทยจัดทำบัญชีราคามาตรฐานต่อหน่วยขึ้นมานั้น มีประโยชน์หลายประการ:
เป็นแนวทางในการวางแผนงบประมาณ
การมีข้อมูลราคามาตรฐานจะช่วยให้ผู้ประกอบการหรือผู้ลงทุนสามารถวางแผนงบประมาณในการก่อสร้างได้อย่างแม่นยำ และสามารถเปรียบเทียบราคาได้ตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ ช่วยให้เกิดความโปร่งใสในการประเมินราคา
เนื่องจากการก่อสร้างเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมาก การที่มีราคามาตรฐานช่วยให้เกิดความโปร่งใสและยุติธรรมในการประเมินราคา ทำให้ผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมาเข้าใจตรงกัน
สนับสนุนการประเมินราคาอย่างถูกต้อง
สำหรับนักประเมินราคาหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน การใช้ข้อมูลราคามาตรฐานจากสมาคมช่วยให้สามารถประเมินราคาได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับสภาพตลาดจริง
สรุป
ราคามาตรฐานต่อหน่วยที่ถูกจัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2566-2567 นี้เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการประเมินราคาการก่อสร้างโรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนงบประมาณและการบริหารจัดการโครงการก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยราคาที่ระบุในบัญชีดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการและนักประเมินสามารถใช้งานได้อย่างตรงไปตรงมา ลดความเสี่ยงในการเกิดความคลาดเคลื่อนของงบประมาณ